CAT datacom News & promotion

ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับ CAT datacom

เจาะลึก เทคโนโลยี AR และ VR เตรียมพร้อมเปลี่ยนโลก สู่โลกเสมือนจริง

24.11.2020

AR และ VR ชื่อของเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่จับตามอง และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของยุคนี้ โดยจำลองสถานการณ์และสร้างโลกเสมือนจริง เพื่อให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ มาเจาะลึกกันว่า AR และ VR นั้นคืออะไร? สร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้บ้าง? รวมถึงมาดูกันว่า พลังของนวัตกรรมเสมือนจริงนี้ จะสร้างอะไรให้เกิดขึ้นบนโลกของเราบ้างในอนาคตอันใกล้นี้

 

เชื่อว่า หลายคนเริ่มได้ยินคำว่า AR และ VR ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่มีสมาร์ทโฟนรวมถึงเครื่องเล่นเกมต่างๆ ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ในการนำเสนอความบันเทิง แต่จริงๆ แล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกใช้ในวงการทหารมากว่า 50 ปีแล้ว โดยชื่อของ AR นั้น ย่อมาจากคำว่า “Augmented Reality” หรือ “ความเป็นจริงประดิษฐ์” ส่วน VR จะมาจากคำว่า “Virtual Reality” หรือ “ความเป็นจริงเสมือน”

 

 

VR เริ่มกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง เมื่อปี 2012 บริษัท Oculus บริษัทสตาร์ทอัพ ผลิตแว่นตา Virtual Reality รุ่น Oculus Rift ได้เปิดระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้เงินไปมากถึง 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้น Facebook ได้ทำการซื้อกิจการของ Oculus ด้วยมูลค่าสูงมหาศาลถึง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ได้ประกาศเลยว่า “VR และ AR คืออนาคต” และนั่นเราก็เริ่มเห็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเทคโนโลยีลงมาสู่ตลาดโลกเสมือนจริงมากขึ้น

 

AR / VR สร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่อันน่าตื่นเต้น

หลายคนก็อาจจะยังสงสัยกันว่า ทั้ง AR และ VR นั้น มีจุดเด่นและแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงมันจะสร้างความน่าตื่นเต้นอะไรกับโลกของเราต่อจากนี้บ้าง เรามาเจาะลึกกับ 2 เทคโนโลยีนี้ไปด้วยกันเลยดีกว่า

 

 

 

Augmented Reality (AR) จะสร้างวัตถุเสมือน ให้ผสานรวมกับสภาพแวดล้อมจริงที่อยู่รอบตัวของเรา นั่นหมายถึง AR นั้นไม่ได้สร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมาใหม่ แต่แทรกภาพ เสียง หรือวิดีโอ ที่สร้างจากอุปกรณ์อย่างสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต เข้ามาซ้อนทับ จำลองให้เรารู้สึกว่ามีสิ่งนั้นเกิดอยู่ทับซ้อนกับความเป็นจริง ผ่านอุปกรณ์ที่มีกล้องสำหรับจับภาพของสภาพแวดล้อมจริง พร้อมสแกนตำแหน่งในลักษณะ 3 มิติ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เกม Pokemon Go ที่ทุกคนคุ้นตานั่นเอง

                       

      

     และไม่ใช่แค่เกมที่นำ AR ไปใช้ แต่ปัจจุบัน บรรดาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ก็ใช้ Augmented Reality มาสร้างเป็นฟีเจอร์สำหรับสร้างสรรค์และเล่นสนุก คนที่เปิดโลกแล้วสร้างเทรนด์นี้ขึ้นมาก็คือ Snapchat แอปที่มีฟิลเตอร์ในการใช้กล้องสมาร์ทโฟน ร่วมกับ AR เพื่อตกแต่งหน้าตา แต่งหน้า เปลี่ยนเอฟเฟ็กต์แบบการ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้ผู้คนสร้างเรื่องราวสนุกสนาน และแชร์ไปยังโลกโซเชียล

 

จนปัจจุบันเราจะเห็นว่า ลูกเล่น AR ถูกเอาไปใช้ทั้งในแอพ Facebook, Instagram, LINE และที่กำลังร้อนแรงสุดๆ ตอนนี้อย่าง TikTok ก็เอา AR มาเป็นเครื่องมือให้ผู้ใช้นำไปล่าเรื่องราวได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น

 

 

Virtual Reality (VR) สิ่งที่มีความต่างจาก AR ก็คือ VR นั้นจะเป็นการสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยตัดขาดผู้ใช้งานออกจากโลกของความเป็นจริง เรียกว่าเปิดวาร์ปเราไปสู่อีกโลกเลย โดยโลกเสมือนจริงของ VR ที่สร้างขึ้นมาจะเหมือนมาครอบผู้ใช้เอาไว้ ตัวอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีนี้ก็คือ VR Headset ที่จะใช้สวมใส่โดยมีส่วนฉายภาพที่แว่น โดยกราฟิกต่างๆ จะเกิดจากการสร้างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยจะจับลองประสบการณ์เสมือนจริง พร้อมจับ Tracking การเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน

          

ตัว VR Headset ในวงการเกมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันที่ได้รับความนิยมก็คือ HTC Vive ที่ใช้ทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลกราฟิก และ PlayStation VR ที่ใช้งานร่วมกับเครื่อง PlayStation4

 

 

           

ในวงการสมาร์ทโฟน ก็ได้เข้ามาสู่โลกของ Virtual Reality โดยคนที่เอาจริงเอาจังและขับเคลื่อนตลาดนี้ในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ Samsung ที่ได้ทำงานร่วมกับ Oculus สร้างตัวแว่น VR ที่สามารถเอาสมาร์ทโฟนเสียบเข้าไปทำงานเป็นส่วนแสดงภาพและประมวลผลกราฟฟิก ทำให้ประสบการณ์ VR เข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวาง

 

อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สิ่งที่จะมาปลดล็อคให้ AR และ VR

ที่ผ่านมา AR/VR ยังถูกจำกัดด้วยราคาและความยุ่งยากของอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงความเร็วของอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อเครือข่ายและค่าความหน่วงของสัญญาณ ด้วยกราฟิกที่ต้องสมจริง จึงต้องใช้ข้อมูลเป็นจำนวนมาก อินเทอร์เน็ตถ้าช้าก็จะไม่สามารถส่งสัญญาณภาพในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่าน AR หรือ VR ในระยะไกลได้ ซึ่งวันนี้ ปัญหานี้กำลังจะหมดไป ด้วยเครือข่าย 5G ที่มีความเร็วมากขึ้น และค่าความหน่วงที่ต่ำ ทำให้การสื่อสารของข้อมูลระหว่างกัน มีความ realtime ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน แต่การควบคุมหรือแสดงผลในระยะไกลก็จะเกิดขึ้นได้เหมือนเกิดที่ตรงหน้าทันที

 

เทรนด์ของ AR และ VR ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

           

ต้องยอมรับว่า ตอนนี้เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ต่างมีสเปคที่แรงมากขึ้น เพียงพอสำหรับการประมวลผล AR และ VR มีการเสริมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา อย่างเช่น LiDAR Scanner ที่ใช้วัดระยะมิติเพื่อให้การสร้าง AR ทำได้สมจริงมากขึ้น และเครือข่าย 5G ที่ทำให้การสื่อสารระยะไกลมีความหน่วงที่น้อยลง และการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วกว่าเดิม การใช้ VR และ AR เพื่อการสื่อสารก็จะสามารถเกิดขึ้นจริงได้แล้ว

 

เมื่อองค์ประกอบหลายอย่างมาเป็นตัวเสริมให้แล้วขนาดนี้ จากนี้ไปเราจะได้เห็นการนำเอาเทคโนโลยี AR และ VR ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อีกหลายอย่าง

 

การเรียนการสอนที่ให้ประสบการณ์สมจริง

VR จะสามารถนำไปใช้ในการฝึกหัดในสิ่งที่ซับซ้อนมากๆ ได้โดยที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในสถานที่จริง ประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการเรียนผ่าตัดของนักเรียนแพทย์ เพียงแค่สวมแว่น VR ก็จะสามารถจำลองเป็นบทเรียนให้ได้ลองศึกษาได้จริง หรือการหัดควบคุมยานพาหนะ การขับเครื่องบิน ก็สามารถจำลองให้เป็น VR เพื่อฝึกฝนโดยไม่ต้องใช้เครื่อง Simulator ที่มีขนาดใหญ่และราคาแพง หรือแม้แต่ การทัศนศึกษาในสถานที่ต่างๆ โดยเราไม่ได้ต้องไปจริง นักเรียนสามารถเดินชมพิพิธภัณฑ์ ไปเดินบนยอดเขา ดำดิ่งลงใต้ทะเลได้ หรือออกไปนอกอวกาศ โดยที่นั่งอยู่ในห้องเรียน

 

 

เปลี่ยนทุกที่ให้เป็นออฟฟิศทำงาน

การพัฒนาของตัวแว่น VR ที่ให้ภาพที่คมชัดมากขึ้น และการประมวลผลที่ดียิ่งขึ้น เราสามารถสวมแว่น VR แล้วแสดงหน้าจอการทำงานของคอมพิวเตอร์ แล้วควบคุมผ่านท่าทาง การทำงานจะไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ที่โต๊ะทำงาน แล้วตัวแว่นยังแสดงผลแบบ AR ที่เป็นหน้าจอลอยอยู่กับสภาพแวดล้อมจริงได้อีกด้วย ซึ่งแนวคิดนี้ Facebook ได้นำเสนอในชื่อ่า Infinite Office ซึ่งพัฒนาโดย Oculus

 

 

ควบคุมเครื่องจักรหุ่นยนต์ระยะไกล

ด้วยความพร้อมของเทคโนโลยี 5G ที่มีค่าความหน่วงสัญญาณที่ต่ำมาก ทำให้การแสดงผลภาพและคำสั่งบังคับไปยังอุปกรณ์เครื่องจักรที่อยู่ในระยะไกล มีการตอบสนองได้ใกล้เคียงกับการนั่งบังคับจริงๆ

 

ดังนั้นในอนาคต เครื่องจักรที่ต้องทำงานในที่ห่างไกล ทุรกันดาร หรืออันตรายอย่างเหมืองแร่ หรือแท่นขุดเจาะกลางทะเล เราสามารถเชื่อมต่อผ่าน 5G แล้วส่งภาพแบบ VR เพื่อควบคุมได้ โดยไม่ต้องมีคนไปประจำการ หรือการบังคับหุ่นยนต์ให้เคลื่อนไหวทำงานแทนมนุษย์ เพื่อทำงานกู้ภัย หรือเป็นพนักงานขายในร้านค้าก็เป็นจริงได้

 

 

แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งอวัยวะภายในและผ่าตัดรักษาคนไข้ได้จากทุกมุมโลก

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Holoeyes สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ได้พัฒนาเครื่องมือ VR โดยมีคุณสมบัติการแปลงข้อมูลภาพ Computed tomography (CT) ให้กลายเป็นภาพสามมิติแล้วแสดงผลเพื่อช่วยสนับสนุนทางการแพทย์ แสดงตำแหน่งอวัยวะภายใน หลอดเลือดและอื่นๆ ให้เห็นเหมือนดูด้วยตาจริงๆ

 

นอกจากนั้น ยังมีแพลตฟอร์ม Surgical Navigation Advanced Platform (SNAP) ของการแพทย์ในอเมริกา เป็นหนึ่งในโครงการด้านเทคโนโลยีในเรื่องของการผ่านตัด ที่ช่วยจำลองอวัยวะของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกเส้นประสาท, เส้นเลือดและเนื้อเยื่อก่อนที่จะผ่าตัด โดยก่อนที่จะผ่าตัดนั้น สมองของผู้ป่วยจะถูกจำลองออกมาในรูปแบบ 3D

 

ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ จะส่งผลถึงการแก้ปัญหาเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ที่จะผ่าตัดคนไข้ในพื้นที่ห่างไกลให้เกิดขึ้นจริงได้ โดยคุณหมอจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จะสามารถใช้ VR ที่รับภาพจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัด แล้วควบคุมหุ่นยนต์เพื่อทำการผ่าตัดคนไข้ โดยการสื่อสารผ่าน 5G และในอนาคต VR จึงเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ ที่ช่วยประสานจำลองสิ่งที่อยู่ห่างไกลให้มาเกิดตรงหน้า และควบคุมได้เหมือนเราไปอยู่ที่จุดนั้นจริงๆ

 

 

AR กับการโฆษณาที่เหนือจินตนาการ

จากนี้ AR จะสามารถสำลองกราฟิกมาซ้อนบนโลกจริงได้แนบเนียนมากขึ้น และจะถูกนำไปใช้ในรูปแบบอื่นอย่างเช่น การโฆษณา และด้านธุรกิจ ในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ เราสามารถส่องกล้องแล้วทดสอบลองวางเฟอร์นิเจอร์ในบ้านของเรา หรือจะลองสวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กับตัวของเรา ก่อนจะตัดสินใจกดสั่งซื้อโดยไม่ต้องลองสวมจริงๆ

 

ณ วันนี้ เทคโนโลยี AR และ VR จะไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป และกำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต ในวันที่โลกแห่งความเป็นจริง จะผสานรวมกับโลกในจินตนาการเสมือนจริงแบบไร้รอยต่ออย่างแท้จริง

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา